ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ให้คำนิยาม “ป่าไม้” ว่าหมายถึง พื้นที่บนบกมากกว่า 0.5 เฮกแตร์ ที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนยอดต้นไม้มากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ภายใต้การใช้ประโยชน์ทางการเกษตรหรือการใช้ประโยชน์ที่ดินอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ป่า ในกรณีของป่ารุ่นใหม่หรือพื้นที่ที่ต้นไม้ถูกยับยั้งการเจริญเติบโตโดยสภาพภูมิอากาศ ต้นไม้ควรมีความสูงถึง 5 เมตรในถิ่นที่อยู่อาศัย และมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของการปกคลุมเรือนยอด
ป่าไม้ ตามคำนิยามของประเทศไทย
ป่าไม้ หมายถึง พื้นที่ปกคลุมของพืชพรรณที่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นไม้ยืนต้น ปกคลุมเป็นผืนต่อเนื่องขนาดไม่น้อยกว่า 3.125 ไร่ และหมายรวมถึงทุ่งหญ้าและลานหินที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่ปรากฏล้อมรอบด้วยพื้นที่ที่จำแนกได้ว่าเป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยไม่รวมถึงสวนยูคาลิปตัส หรือพื้นที่ที่มีต้นไม้ แต่ประเมินได้ว่าผลผลิตหลักของการดำเนินการไม่ใช่เนื้อไม้ ได้แก่ พื้นที่วนเกษตร สวนผลไม้ สวนยางพารา และ สวนปาล์ม
ป่าในประเทศไทยสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ป่าไม่ผลัดใบ (Evergreen forest) และป่าผลัดใบ (Deciduous forest)
ป่าไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีเรือนยอดเขียวชอุ่มตลอดปีเนื่องจากต้นไม้เกือบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทไม่ผลัดใบ จำแนกออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ 4 ชนิด ได้แก่
ป่าดิบเขตร้อน (Tropical evergreen forest) ประกอบด้วย
- ป่าดิบชื้น (Tropical rain forest) พบตามภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ของประเทศ ที่มีระดับสูงตั้งแต่ระดับเดียวกันกับน้ำทะเลจนถึงระดับ 100 เมตร
มีปริมาณน้ำฝนตกไม่น้อยกว่า 2,500 มิลลิเมตร ต่อปี - ป่าดิบแล้ง (Dry evergreen forest) พบอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ
ตามบริเวณที่ราบและหุบเขา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100-500 เมตร มีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,000-2,000 มิลลิเมตร ต่อปี - ป่าดิบเขา (Hill evergreen forest) พบอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไปที่มีกระจัดกระจายอยู่ตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ มีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,500-2,000 มิลลิเมตร ต่อปี
ป่าสน (Coniferous forest) พบการกระจายเป็นหย่อม ๆ ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 200-1,600 เมตร (ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สูงประมาณ 30 เมตร) ปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,000-1,500 มิลลิเมตร
ป่าพรุหรือป่าบึง (Swamp forest) ประกอบด้วย
- ป่าพรุ (Fresh-water swamp forest) เป็นป่าที่มีน้ำท่วมขังในบางช่วงหรือขังตลอดปี มักพบกระจายทั่วไปทุกภาค พบมากทางภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 10-500 เมตร
- ป่าชายเลน (Mangrove forest) เป็นป่าที่น้ำทะเลท่วมถึง พบตามชายฝั่งที่เป็น
แหล่งสะสมดินเลนทั่ว ๆ ไป อยู่ระดับเดียวกับน้ำทะเลเป็นส่วนใหญ่ ปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,500-4,000 มิลลิเมตร ต่อปี
ป่าชายหาด (Beach forest) เป็นป่าที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลที่มีดินเป็นกรวดทรายและ
โขดหิน สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน ๕๐ เมตร มีไอเค็มกระจายถึง ปริมาณน้ำฝนใกล้เคียงกับป่าชายเลน
ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับชนิดของป่าไม้ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ ชนิดของดินหิน ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง และชีวปัจจัย สามารถแบ่งชนิดป่าไม่ผลัดใบของประเทศไทยเป็น 14 ชนิด ได้แก่
- ป่าดิบชื้น (Tropical evergreen rain forest หรือ Tropical rain forest)
- ป่าดิบแล้ง (Seasonal rain forest หรือ Semi-evergreen forest หรือ Dry evergreen forest)
- ป่าดิบเขาต่ำ (Lower montane rain forest)
- ป่าไม้ก่อ (Lower montane oak forest)
- ป่าไม้ก่อ-ไม้สน (Lower montane pine-oak forest)
- ป่าไม้สนเขา (Lower montane coniferous forest)
- ป่าละเมาะเขาต่ำ (Lower montane scrub)
- ป่าดิบเขาสูงหรือป่าเมฆ (Upper montane rain forest หรือ Cloud forest)
- ป่าละเมาะเขาสูง (Upper montane scrub)
- แอ่งพรุภูเขา (Montane peat bog หรือ Sphagnum bog)
- ป่าชายเลนหรือป่าโกงกาง (Mangrove forest)
- ป่าพรุ (Peat swamp forest)
- ป่าบึงน้ำจืดหรือป่าบุ่ง-ทาม (Freshwater swamp forest)
- สังคมพืชชายหาด (Strand vegetation) ตามหาดทราย (Sand strand)
และโขดหิน (Rock strand)
ป่าผลัดใบ เป็นป่าที่มีองค์ประกอบพืชพรรณเป็นพรรณไม้ผลัดใบ พบทั่วไปในทุกภาคยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ (จันทบุรี-ตราด) ป่าผลัดใบสามารถจำแนกเป็น 3 ชนิด ตามองค์ประกอบ
พืชพรรณ ดังนี้
- ป่าเบญจพรรณหรือป่าผลัดใบผสม (Mixed deciduous forest) พบทั่ว ๆ ไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศที่เป็นที่ราบหรือตามเนินขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลระหว่าง 50-600 เมตร ดินเป็นได้ตั้งแต่ดินเหนียว ดินร่วน จนถึงดินลูกรัง ปริมาณน้ำฝนไม่เกิน 1,000 มิลลิเมตร ต่อปี
- ป่าเต็งรัง ป่าแพะ ป่าแดง หรือป่าโคก (Deciduous dipterocarp forest หรือ Dry dipterocarp forest) พบทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศที่เป็นที่ราบหรือตามเนินเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 100-600 เมตร ดินมักเป็นดินทรายและดินลูกรัง มีปริมาณน้ำฝนไม่เกิน 1,000 มิลลิเมตร ต่อปี
- ป่าหญ้า (Savanna forest) เป็นป่าที่เกิดภายหลังจากที่ป่าธรรมชาติอื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้น ได้ถูกทำลายไปหมด ดินมีสภาพเสื่อมโทรมจนต้นไม้ไม่อาจขึ้นหรือเจริญงอกงามต่อไปได้ พวกหญ้าต่าง ๆ จึงขึ้นมาแทนที่ พบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของไทย
ในขณะที่ การแบ่งชนิดของป่าโดยพิจารณาจากสภาพภูมิประเทศ ลมฟ้าอากาศ และชีวปัจจัยตามธวัชชัย (2555) สามารถแบ่งชนิดของป่าผลัดใบ ได้ 3 ชนิด คือ
- ป่าเบญจพรรณ, ป่าผสมผลัดใบ (Mixed deciduous forest)
- ป่าเต็งรัง (Deciduous dipterocarp forest)
- ป่าเต็งรัง-ไม้สน (Pine-deciduous dipterocarp forest)
เมื่อพิจารณาการแบ่งชนิดของป่าไม้ตามที่กล่าวมาและการแบ่งระบบนิเวศตามประเด็นของภาคีสมัชชาอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ พบว่าป่าไม้ไม่ผลัดใบในประเทศไทยมีความทับซ้อนกับระบบการเกษตร ภูเขา ทะเลและชายฝั่ง เกาะ และแหล่งน้ำในแผ่นดินด้วย ขณะที่ป่าไม้ผลัดใบบางส่วนมีความทับซ้อนกับระบบการเกษตร พื้นที่แห้งแล้งและกึ่งชื้น และภูเขาด้วยเช่นกัน
ใน พ.ศ. 2561-2562 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้จำนวน 102,484,072.71 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 31.68 ของพื้นที่ประเทศ โดยภาคเหนือพบพื้นที่ป่าไม้มากที่สุด รองลงมา คือ ภาคตะวันตก ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ ขณะที่จังหวัดที่มีพื้นที่ป่าไม้มากกว่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ มีจำนวน 14 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ 8 จังหวัดภาคตะวันตก 3 จังหวัด ภาคใต้ 2 จังหวัด และภาคกลาง 1 จังหวัด จังหวัดที่มีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน (ร้อยละ 85.51) ตาก (ร้อยละ 71.98) ลำปาง (ร้อยละ 70.04) เชียงใหม่ (ร้อยละ 69.59) และแพร่ (ร้อยละ 64.84) ทั้งนี้มี 3 จังหวัด ที่ไม่พบพื้นที่ป่าไม้ ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และอ่างทอง